วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555
ผลไม้
!!ผลไม้!!
แอปเปิ้ล : เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วยค่ะ
องุ่น : เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดม ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย
สับปะรด : มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูก
มะละกอ มะม่วง แตงโม : มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร
ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน ผลไม้มีประโยชน์ มากคุณค่า แถมทำให้เราไม่อ้วนด้วย อย่างนี้น่าจะลองหาผลไม้ติดบ้านไว้ แทนขนมขบเคี้ยว หรือขนมหวานก็จะดีไม่น้อยเลย
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555
กล้วยๆ
เรื่องกล้วยๆๆๆ :))
1. ช่วยลด อาการเมาค้าง โดยการรับประทานกล้วยปั่นควบคู่กับนมและ น้ำ ผึ้งหลังการดื่มสุรา ด้วยเหตุผลที่กล้วยจะช่วยการย่อยของกระเพาะอาหาร ขณะที่น้ำผึ้งจะชะลอปริมาณน้ำตาลในเลือด ส่วนนมมีผลในการปรับระดับของเหลวภายในร่างกาย
2. ช่วยบรรเทาอาการไม่สบายในช่วงเช้า เพราะ กล้วยจะช่วยรักษาปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่โดยอาจจะทานกล้วยเป็น อาหารว่างระหว่างมื้อ
3. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เนื่อง ด้วยกล้วยเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายและจิต ใจให้เย็นลง โดยเฉพาะสตรีมีครรภ์ การรับประทานกล้วยทุกวันจะช่วยทุกวันจะช่วยควบคุมอุณหภูมิของทารกให้เย็นลง
4. ลดความสับสนในอารมณ์ เพราะในกล้วย มีสารทริปโนแฟน ( tryptophan ) ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ช่วยบรรเทาอารมณ์ที่สับสน ส่งผลให้อารมณ์สดชื่นขึ้นได้
5. ช่วยการเลิกสูบบุหรี่ เพราะ ในกล้วยมีสารอาหารอย่าง วิตามินเอ บี6 และ บี12 ในปริมาณสูง รวมทั้งมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่มีส่วนช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าใน เวลาอันรวดเร็ว
6. ลดความเครียด ในกล้วยมีสารอาหารโพแทสเซียมในปริมาณ สูง หากเกิดความเครียด อัตราการทำงานของเมแทบอลิกในร่างกายจะเพิ่มปริมาณสูง ดังนั้นระดับโพแทสเซียมในร่างกายจะลดลง แต่โพแทสเซียมในกล้วยจะช่วยให้ระดับการเต้นของหัวใจทำงานปกติ รวมทั้งสามารถส่งออกซิเจนไปสู่สมองเพื่อปรับระดับน้ำภายในร่างกายให้เกิด ความสมดุล
7. อาการเส้นเลือดฝอยแตก มี งานวิจัยกล่าว ว่า การกินกล้วยเป็นประจำสามารถป้องกันและยับยั้งอันตรายจากอาการเส้นโลหิตแตก ประมาณร้อยละ 40
8. แก้โรคซึมเคร้า เนื่องจากกล้วยมีโปรตีนทริปโตแฟนหลังได้ รับประทานกล้วย ร่างกายจะเปลี่ยนทริปโตแฟนเป็น เซโรโทนิน ( serotonin ) สารตัวนี้ก่อให้เกิดการผ่อนคลายหลั่งสารความสุขดังกล่าวออกมา
9. นักกีฬาจำนวนมาก มักนิยมรับ ประทานกล้วยสุก ก่อนลงแข่งขันเสมอ นั่นเป็นเพราะในกล้วยมีน้ำตาลธรรมชาติอยู่มาก ทำให้ร่างกายสามารถดึงน้ำตาลเหล่านี้ไปหมุนเวียนในกระแสเลือดได้เร็ว และยังทำให้รู้สึกสดชื่นไปพร้อมๆ กันด้วย
10.มี วิตามินเอ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ทั้งยังช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณรอบจมูก ปาก คอ ช่องคลอด และทวารหนัก ช่วยในเรื่องการมองเห็นป้องกันสายตาพร่ามัวในตอนกลางคืน ร่างกายสามารถแปรเปลี่ยนวิตามินเอให้เป็น เบต้าแคโรทีน ที่มีสรรพคุณพิเศษในการป้องกันและยับยั้งการเกิดของเซลล์มะเร็งที่อวัยวะ ต่างๆ ภายในร่างกายคุณได้
11.มีวิตามิน บี 1หรือ “ ไธอะมิน ” ที่มีส่วนช่วยให้คุณรู้สึกอยากอาหาร หรือเจริญอาหารนั่นเอง และยังช่วยให้คุณๆ สามารถปัสสาวะได้มากขึ้นกว่าปติ เนื่องจากวิตามินบี 1 มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะอ่อน ควบคู่ไปกับการทำหน้าที่อันใหญ่หลวงในการรับ พลังงานจากสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมาใช้ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
12. น้ำตามธรรมชาติ ในผลกล้วยมีส่วนผสมของน้ำตาลซูโครส (Sucrose) ฟรุตโตส (Fructose) และกลูโคส (Glucose) ที่มีส่วนทำให้กล้วยที่คุณรับประทานมีรสชาติหวาน นอกจากนี้ร่างกายยังสามารถดึงน้ำตาลธรรมชาติทั้งสามชนิดนี้ ไปใช้ได้เลย โดยที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรเปลี่ยนก่อน แต่ผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรรับประทานปริมาณมากๆ และบ่อยครั้งนัก
http://www.slenderhealthy.com/index.php?mo=5&qid=513904
http://www.slenderhealthy.com/index.php?mo=5&qid=513904
chocolate
C H O C O L A T E !!!!
หากมองเพียงผิวเผิน "ช็อกโกแลต" อาจจะเป็นเพียงแค่ของหวานชั้นเลิศที่มีรสชาติหวานหอมละมุนลิ้นของคนทั่วไปเท่านั้น แต่ถ้าลองมองให้ลึกลงไปมากกว่านั้นก็จะพบว่า ช็อกโกแลตนอกจากจะเป็นของหวานทานเล่นแล้ว ยังเป็นขนมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของผู้ทานเป็นอย่างมากอีกด้วยโดยข้อมูลจากงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ของช็อกโกแลตที่มีต่อร่างกายของมนุษย์ พบว่า คนที่รับประทานช็อกโกแลตเป็นประจำมีอายุยืนกว่าคนที่ไม่เคยรับประทานช็อกโกแลต ในกรณีนี้อาจจะเป็นผลมาจาก "สารโพลีฟีนอล" ที่มีอยู่จำนวนมากในช็อกโกแลต เพราะโพลีฟีนอลเป็นสารที่ช่วยลดอนุมูลอิสระ (antioxidant) และช่วยป้องกันโรคหัวใจได้เป็นอย่างดีนอกจากนี้ช็อกโกแลตยังมีกาเฟอีนในปริมาณไม่มากนัก จึงช่วยกระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า แถมยังช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ช่วยให้ผ่อนคลายและอารมณ์ดีได้อีกด้วยเมื่อเห็นประโยชน์ที่มีต่อร่างกายมนุษย์ของช็อกโกแลตแบบนี้แล้ว เราก็ควรที่จะหันมาเริ่มทานช็อกโกแลตกันได้แล้ว เพียงแต่ถ้าต้องเลือกช็อกโกแลตสักชนิดมาทานนั้นก็อาจจะต้องพิถีพิถันกันสักหน่อย เนื่องจากในปัจจุบันมีช็อกโกแลตอยู่มากมายหลากหลายชนิด ทั้งช็อกโกแลตแท้, ช็อกโกแลตผสม และช็อกโกแลตเทียมดังนั้นเพื่อความแน่ใจในคุณภาพ เราขอแนะนำให้เลือกทาน "ช็อกโกแลตเบลเยียม" ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นช็อกโกแลตที่ดีที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง จากกลิ่นอโรมาและกลิ่นของช็อกโกแลตที่เข้มข้น ละลายในปากทันทีที่เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของช็อกโกแลตชนิดนี้
http://www.wiseknow.com/blog/2012/06/01/22332/#axzz268iaiheT
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)